วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

Future Tense

     
     Future Tense คือ รูปแบบของคำกริยาที่แสดงถึงเหตุการณ์หรือการกระทำที่จะเกิดขึ้นในอนาคตกาล แบ่งออกได้เป็น 4 รูปแบบด้วยกัน ได้แก่


     รูปแบบของ Future Tense                               โครงสร้างของ Future Tense


     1. Future Simple                                     Subject + will, shall + Verb 1  
     2. Future Continuous                               Subject + will, shall + be + Verb (ing)  
     3. Future Perfect                                     Subject + will, shall + have + Verb 3
     4. Future Perfect Continuous                    Subject + will, shall + have + been + Verb (ing)


     Future Simple Tense  (โครงสร้าง Subject + will, shall + Verb 1)     
     โดยที่ใช้ shall กับบุรุษที่ 1 ได้แก่ I, We และใช้ will กับบุรุษที่ 2 และบุรุษที่ 3 รวมถึงกับคำนาม ได้แก่ You, he, she, it, they, James, Mary เป็นต้น มีวิธีการใช้ดังนี้


     1. ใช้กับเหตุการณ์ หรือการกระทำที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และมักมีคำกริยาวิเศษณ์ที่แสดงเวลาที่เป็นอนาคตประกอบอยู๋ในประโยคด้วย คำกริยาวิเศษณ์เหล่านั้น เช่น
     soon (ในไม่ช้านี้)             tomorrow (พรุ่งนี้)          next week (สัปดาห์หน้า)
     next month (เดือนหน้า)    next year (ปีหน้า)         in a moment (อีกสักครู่)
ตัวอย่างประโยค
     I shall go to school tomorrow.  (ฉันจะไปโรงเรียนในวันพรุ่งนี้)
     The train will arrive at the station in a few minutes.  (รถไฟจะมาถึงที่สถานีในอีกไม่กี่นาทีนี้แล้ว)


     2. ใช้ในประโยคที่มีกริยา 2 ตัว โดยใช้ Future Simple Tense กับกริยาที่อยู่หน้าคำเชื่อม และใช้ Present Perfect Tense หรือ Present Simple Tense กับกริยาที่อยู่หลังคำเชื่อม คำเชื่อมที่พบส่วนใหญ่ ได้แก่ If (ถ้า), unless (เว้นเสียแต่ว่า), when (เมื่อ), until (จนกระทั่ง), as soon as (ทันทีทันใด), before (ก่อนที่), after (หลังจาก) เป็นต้น
ตัวอย่างประโยค
       I shall go to the beach after I have finished my work.  (ฉันจะไปชายหาด หลังจากที่ได้ทำงานเสร็จแล้ว)
      They will travel round the world when they win the lottery.  (พวกเขาจะท่องเที่ยวไปรอบโลกถ้าหากพวกเขาถูกล็อตเตอรี่)


      " to be going to" เราสามารถใช้ to be going to แทน will, shall ได้ในกรณีต่อไปนี้


ใช้ to be going to + Verb 1                                                                                               กรณีที่สามารถใช้ to be going to + Verb 1
      
      1. ใช้เพื่อแสดงความตั้งใจ  
       I am going to do my homework this evening.  (ฉัน (ตั้งใจว่า) จะทำการบ้านตอนเย็นนี้)


      2. ใช้เพื่อแสดงการคาดคะเน
      My father thinks it's going to rain.  (พ่อของฉันคิดว่าฝนคงจะตก)


      3. ใช้เพื่อแสดงข้อความที่คาดว่าเป็นจริงแน่นอน
       I am going to have a baby.  (ฉันกำลังจะมีลูก)


กรณีที่เราไม่สามารถใช้ to be going to + Verb 1 แทน will, shall ได้ มีดังนี้


       1. เหตุการณ์ที่จะต้องเกิดขึ้นตามธรรมชาติอย่างเลี่ยงไม่ได้
        To be is the 7 th and tomorrow will be the 8 th.  (วันนี้เป็นวันที่ 7 และพรุ่งนี้เป็นวันที่ 8)


       2. ในประโยคเงื่อนไขที่ใช้ if เป็นตัวเชื่อม
        We shall play football if you come with us.  (พวกเราจะเล่นฟุตบอลกันถ้าคุณมากับเรา)  


       3. เมื่อเป็นกริยาที่แสดงการรับรู้ เช่น know (รู้), love (รัก), remember (จำได้), forget (ลืม) เป็นต้น
        I will (shall) not forget your words.  (ฉันจะไม่ลืมถ้อยคำของคุณ)     

การใช้ will, shall สลับบุรุษกัน                
         โดยปกติเราจะต้องใช้บุรุษที่ 1 ได้แก่ I, We กับ shall และบุรุษที่ 2 และบุรุษที่ 3 ได้แก่ You, He, She, It, และคำนามกับ will แต่เมื่อนำ shall มาใช้กับบุรุษที่ 2 และบุรุษที่ 3 จะทำให้ความหมายเปลี่ยนไป ดังนี้


shall กับบุรุษที่ 2 และบุรุษที่ 3
       1. ความหมายในเชิงให้คำสัญญา
เช่น If you help me do it you shall get a reward.  (ถ้าคุณช่วยฉันทำสิ่งนี้ คุณจะได้รางวัล)


       2. ความหมายในเชิงบังคับ
เช่น You shall be punished if you don't follow his advices.  (คุณจะถูกทำโทษถ้าคุณไม่ทำตามคำแนะนำของเขา) 


       3. ความหมายในเชิงแสดงความแน่วแน่ของการตัดสินใจ
เช่น She shall pass the examination, if she doesn't cut my class.  (หล่อนจะสอบผ่านถ้าหล่อนไม่ขาดเรียน (วิชาของผม)


เมื่อนำ will มาใช้กับบุรุษที่ 1 จะทำให้ความหมายเปลี่ยนไป ดังนี้
will กับบุรุษที่ 1


       1. ให้ความหมายในเชิงแสดงความตั้งใจจริงของผู้พูด
เช่น I will finish my work this evening.  (ฉันจะทำงานให้เสร็จในเย็นนี้)


       2. ให้ความหมายในเชิงให้คำสัญญา
เช่น I will love you forever.  (ฉันจะรักคุณตลอดไป)


       Future Continuous Tense  (โครงสร้าง Subject + will, shall + be + Verb (ing)
มีวิธีการใช้ดังนี้


       1. ใช้กับเหตุการณ์ หรือการกระทำ 2 อย่างที่เกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอนาคต เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนจะใช้ Future Continuous Tense ส่วนอีกเหตุการณ์หนึ่งที่จะเกิดทีหลัง ให้ใช้ Present Simple Tense
เช่น He will be sleeping when I go to his house this evening.  (เขาจะกำลังนอนหลับอยู่ เมื่อฉันไปถึงบ้านของเขาในเย็นนี้)


       2.  ใช้กับเหตุการณ์ หรือการกระทำที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต โดยมีเวลาระบุไว้ชัดเจน
เช่น At nine o'clock tomorrow, they will be studying at school.  (เวลา 9 นาฬิกาของวันพรุ่งนี้ พวกเขาคงจะกำลังเรียนกันอยู่ที่โรงเรียน)


       Future Perfect Tense  (โครงสร้าง Subject + will, shall + have + Verb 3)
มีวิธีการใช้ดังนี้


       1. ใช้กับเหตุการณ์ หรือการกระทำที่จะเกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอนาคต โดยเป็นเพียงการคาดการณ์ว่าหากถึงตอนนั้นแล้วเหตุการณ์ หรือการกระทำอันหนึ่งจะได้เกิดขึ้นสมบูรณ์อยู่ก่อนแล้วจึงมีอีกเหตุการณ์ที่ 2 เกิดขึ้นตามมา
เช่น He will have received my letter when I arrive at work.  (เขาคงจะได้รับจดหมายของฉันแล้ว เมื่อฉันไปถึงที่ทำงาน)


       2. ใช้กับเหตุการณ์ หรือการกระทำที่จะเกิดขึ้นและสมบูรณ์ในอนาคต มักมีคำหรือกลุ่มคำบอกเวลาความเป็นอนาคตกำกับไว้ด้วย และนำหน้าด้วยบุพบท by เสมอ
เช่น I shall have woken up by breakfast time.  (ฉันคงจะตื่นแล้วก่อนจะถึงเวลาอาหารเช้า)


      Future Perfect Continuous Tense  (โครงสร้าง Subject + will, shall + have + been + Verb (ing)
       
      มีวิธีการใช้ที่ไม่แตกต่างจาก Future Perfect Tense แต่ Future Perfect Continuous Tense นี้ จะให้ความหมายเน้นไปที่ความต่อเนื่องของเหตุการณ์ หรือการกระทำและเมื่อถึงเวลานั้นก็ยังคงดำเนินอยู่ และจะดำเนินต่อไป
เช่น By the next week I shall have been living here for two years.  (เมื่อถึงสัปดาห์หน้า ฉันจะได้อยู่ที่นี่ (ติดต่อกันมา) แล้วเป็นเวลาครบ 2 ปี)
       
เมื่อเทียบกับ Future Perfect Tense
       By next week I shall have lived here for two years.  (เมื่อถึงสัปดาห์หน้า ฉันจะได้อยู่ที่นี่เป็นเวลาครบ 2 ปี)


       จะเห็นว่าประโยคทั้งสองให้ความหมายไม่ต่างกันมากนัก เพียงแต่ว่าประโยคแรกที่ใช้ Future Perfect Continuous Tense นั้นเน้นความต่อเนื่องของการกระทำมากกว่าอีกประโยคหนึ่ง




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น